top of page
ค้นหา

ระบบนิเวศ ESG ของไทย: พลังขับเคลื่อนธุรกิจสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยได้มุ่งมั่นต่อหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มระดับโลกสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ระบบนิเวศ ESG ของไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยได้รับการขับเคลื่อนจากนโยบายของรัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย และโครงการริเริ่มของบริษัท และการตระหนักรู้ที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนและผู้บริโภค ระบบนิเวศนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนภายในประเทศ แต่ยังทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคอาเซียนด้าน ESG


การสนับสนุนจากรัฐบาล

รัฐบาลไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ ESG ผ่านนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกแนวทางในการสนับสนุนให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติ ESG นอกจากนี้ยังมีโมเดล BCG ที่เป็นโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืน ผ่าน Bioeconomy, Circular Economy และ Green Economy โดยมีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นผู้ร่วมพัฒนา อีกทั้งยังได้รับการผลักดันจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย


ความเป็นผู้นำของภาคธุรกิจ

องค์กรในประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของ ESG ต่อความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจมากขึ้น หลายบริษัทชั้นนำได้จัดตั้งคณะกรรมการ ESG ผนวกความยั่งยืนเข้าไว้ในกลยุทธ์ธุรกิจ และยอมรับมาตรฐานสากล เช่น Global Reporting Initiative (GRI) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) อุตสาหกรรม เช่น พลังงาน การธนาคาร และการผลิตมีความเคลื่อนไหวอย่างมาก โดยมีหลายบริษัทในประเทศไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลในด้านความยั่งยืน โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็มีการทำประเมินผลหุ้นยั่งยืน หรือ SET ESG Ratings ซึ่งมีบริษัทที่อยู่ในการประเมินถึง 192 บริษัท จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์


อิทธิพลจากกฎระเบียบระดับโลก

ความสำคัญของ ESG ในประเทศไทยถูกเน้นย้ำเพิ่มเติมโดยการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของกฎระเบียบในตลาดโลกที่สำคัญ เช่น สหภาพยุโรป (EU) และสหรัฐอเมริกา (US) ตัวอย่างเช่น กฎระเบียบ Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD) ของ EU กฎระเบียบนี้กำหนดให้บริษัทที่ดำเนินงานหรือทำธุรกิจกับ EU และ US ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงาน ESG ที่เข้มงวด ยกตัวอย่างเช่น ผู้ส่งออกไทยและบริษัทข้ามชาติที่มีการดำเนินงานในภูมิภาคเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบเหล่านี้ มิฉะนั้นอาจสูญเสียการเข้าถึงตลาดสำคัญ เป็นผลให้มีแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นให้กับบริษัทไทยในการปรับปรุงการปฏิบัติ ESG เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดยทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็มีแผนที่จะพัฒนายกระดับการประเมินความยั่งยืน SET ESG Ratings สู่มาตรฐานสากล โดยร่วมกับ FTSE Russell (บริษัทย่อยในกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน หรือ LSEG) โดยมีแผนจะเริ่มประกาศผลประเมิน FTSE Russell ESG Scores ในปี พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป


ความท้าทายและโอกาส

แม้จะมีความก้าวหน้าในการสนับสนุนระบบนิเวศของ ESG ในไทย แต่ก็ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย ประเด็นสำคัญประการหนึ่งคือการขาดเกณฑ์และวิธีการรายงาน ESG ที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งทำให้นักลงทุนเปรียบเทียบบริษัทได้ยาก นอกจากนี้ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่เป็นผู้นำ SMEs มักประสบปัญหาเรื่องทรัพยากรและความรู้ที่จำเป็นในการปฏิบัติ ESG อย่างเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามความท้าทายเหล่านี้ถือเป็นโอกาสในการสร้างนวัตกรรมและความร่วมมือ โดยมีตลาดที่กำลังเติบโตสำหรับการให้คำปรึกษาด้าน ESG โซลูชันด้านเทคโนโลยี และโครงการสร้างขีดความสามารถ อย่างเช่น Dun & Bradstreet บริษัทผู้นำด้านข้อมูลนิติบุคคลระดับโลกที่มีมากว่า 200 ปี ก็ได้พยายามเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศของการประเมิน ESG ให้แก่บริษัททั่วไปที่อาจจะไม่ได้มีการประเมินโดยสถาบันขนาดใหญ่ แต่จำเป็นต้องมีมาตรฐานในการประเมินตนเอง ก็สามารถใช้ Questionaire ของทาง Dun & Bradstreet เพื่อช่วยในการให้คะแนนประเมินตนเองและส่งต่อให้คู่ค้าได้


จากการวิเคราะห์นโยบายของ Dun and Bradstreet จากเกณฑ์ต่างๆ ของทาง EU และ US ทั้งเรื่องของ Greenhouse Gas (GHG) Emission Scope, Corporate Sustainability Reporting Directive (CSRD), และ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ตาม 2 รูปด้านล่าง แล้วก็พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมในไทยที่จะได้รับผลกระทบประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมซีเมนต์, เหล็ก, อลูมิเนียม, ปุ๋ย, และไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีการรายงาน carbon footprint ตาม CBAM ภายในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งบริษัทในไทยที่มีการซื้อขายส่งออกและอยู่ในกลุ่มนี้ จากฐานข้อมูลของบริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) หรือ BOL ผู้นำด้านข้อมูลของไทย ก็ได้บ่งชี้ว่ามีรายได้รวมมากถึง 5.5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ภายในปี พ.ศ. 2569 ยังต้องรวมอุตสาหกรรมพลาสติก และเคมีภัณฑ์เข้าไปในรายงานด้วย ซึ่งกระทบต่อบริษัทในไทยในกลุ่มนี้ที่มีการซื้อขายส่งออกอีกรวมรายได้กว่า 8.3 ล้านล้านบาท


นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่บริษัทในไทยจะสามารถปรับขึ้นมาแซงคู่แข่งในระดับโลกหากมีการวางระบบและมาตรฐานทาง ESG ในองค์กรเพื่อที่จะเปิดทางสู่การเป็น supplier แก่บริษัทระดับโลกในทวีปยุโรปและอเมริกา



เส้นทางข้างหน้

ในอนาคตระบบนิเวศ ESG ของไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากตลาดโลก ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล ธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปฏิบัติ ESG มากขึ้น โดยรัฐบาลต้องเข้ามาเสริมสร้างกรอบกฎระเบียบเพิ่มเติม และประชาสัมพันธ์ให้แก่บริษัทนำเข้าในต่างประเทศได้ เห็นถึงศักยภาพของ ESG ในไทย ในขณะที่ประเทศไทยก้าวไปบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน จะไม่เพียงแค่พัฒนาตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างตำแหน่งให้เป็นผู้เล่นหลักในภูมิทัศน์ ESG ระดับโลกอีกด้วย


โดย ภูมิ ขอจิตต์เมตต์ – Product Consultant, Business Online Co., Plc.


Corpus X ช่วยคุณได้ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : @corpusx หรือหากเป็นผู้ใช้งาน Corpus X อยู่แล้วอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน ติดต่อแผนก Customer Service ที่ +662 657 3999 ext. 2111-9

bottom of page